- Published Date: 29/08/2021
- by: UNDP
ร่วมสร้าง ‘New Normal’ กับบทเรียนจาก ‘การฟัง’ ชุมชนภาคใต้
หากการระบาดใหญ่ของโควิด 19 จะช่วยให้เราเข้าใจอะไรสักอย่างได้ดีขึ้น สิ่งนั้นก็คือความจริงที่ว่า เราทุกคนล้วนเปราะบาง แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้เปราะบางเท่ากันทุกคน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากสิ่งที่เกิดขึ้นในภาคใต้ของประเทศไทย เพราะเป็นภูมิภาคที่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษต่อการระบาดและผลกระทบที่ตามมาของโควิด 19 สำหรับผู้คนราว 2.4 ล้านคนในภูมิภาคแห่งนี้ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูงแต่ประชากรส่วนมากยากจน การระบาดใหญ่ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความยากลำบากใหม่ ๆ แต่ยังตอกย้ำปัญหาที่มีอยู่เดิมให้เลวร้ายมากขึ้น ในขณะเดียวกัน โควิด 19 ก็กลายเป็นโอกาสสำหรับภูมิภาคนี้ในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า แข็งแกร่งกว่า ยั่งยืนกว่า ยืดหยุ่นกว่า และครอบคลุมมากกว่า
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เราไม่สามารถก้าวข้ามวิกฤตได้ด้วยการกลับไปใช้แนวทางการพัฒนาตามปกติเหมือนที่ผ่านมาเพราะโควิด 19 เป็นปัญหาที่ซับซ้อนและสร้างผลกระทบซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยนวัตกรรมทางเทคโนโลยีบางอย่างหรือวิธีแก้ปัญหาแบบมุ่งเฉพาะจุด สิ่งที่จำเป็นคือการทำความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงพลวัตทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่เป็นเงื่อนไขของการคลี่คลายวิกฤตครั้งนี้
การเข้าใจความต้องการที่แท้จริง มุมมองและพฤติกรรมของประชาชนที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์จริง คือจุดเริ่มต้นของการพัฒนาแนวทางการแก้ปัญหาร่วมกัน
กลุ่มหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดเป็นพิเศษคือผู้ประกอบการรุ่นใหม่ ในเดือนมีนาคม 2563 โครงการ Youth Co:Lab ที่นำโดยโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ (UNDP) และมูลนิธิซิตี้ ได้ทำการสำรวจผู้ประกอบการรุ่นใหม่ 410 รายทั่วเอเชียและแปซิฟิกพบว่า ร้อยละ 90 ของธุรกิจที่บริหารโดยคนหนุ่มสาวได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์ในปัจจุบัน โดย 1 ใน 3 รายงานว่าธุรกิจของตนชะลอตัวครั้งใหญ่ และ 1 ใน 4 ต้องยุติกิจการโดยสิ้นเชิง การได้เห็นคนหนุ่มสาวที่มีความเปราะบางอยู่แล้วต้องมาดิ้นรนเพื่อให้ธุรกิจของตนอยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนคือภาพที่น่าใจหายยิ่ง
เพื่อรับมือกับความท้าทายนี้และอื่น ๆ ศูนย์ภูมิภาคของ UNDP ร่วมกับศูนย์การศึกษาสังคมและการเมือง (ALC) ซึ่งเป็นห้องปฏิบัติการนวัตกรรมทางสังคมในราชอาณาจักรสเปน ได้สนับสนุน แพลตฟอร์มนวัตกรรมทางสังคมของ UNDP ประเทศไทย ในการทดลองใช้แนวทางใหม่ที่จะช่วยให้ทราบถึงมุมมองและพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของประชาชนได้แบบตามเวลาจริง เพื่อคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในบริบทของโควิด 19 และนำไปสู่การออกแบบนโยบายสาธารณะร่วมกัน UNDP และ ALC ได้จัดกระบวนการรับฟังเพื่อรวบรวมเรื่องเล่าผ่านการสัมภาษณ์เชิงชาติพันธุ์วรรณากับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลากหลายกลุ่มในระบบอาหารท้องถิ่นในภาคใต้ของประเทศไทย
กระบวนการรับฟังได้ดึงเอาชุดเรื่องเล่าที่มีความสลับซับซ้อนออกมา และเผยให้เห็นการรับรู้ พฤติกรรม และรูปแบบการคิดในระดับและมิติต่าง ๆ ที่หลากหลาย กล่าวง่าย ๆ ก็คือเราได้รับรู้เรื่องราวที่ไม่เคยถูกเล่าของภูมิภาคนี้ เรื่องราวที่เป็นทั้งความท้าทายและโอกาสที่สำคัญของภูมิภาคและชุมชนภาคใต้ของไทย เช่น ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารที่ต้องประสบปัญหาธุรกิจในยามวิกฤต เพื่อทำให้เรื่องเล่าเหล่านี้สมบูรณ์ขึ้น ได้มีการสร้าง ‘ตัวละครแทน (persona)’ ซึ่งเป็นตัวตนสมมุติและเป็นตัวแทนชุดความคิด พฤติกรรม และมุมมองของคนแต่ะละกลุ่มในสังคม การทำงานเชิงชาติพันธุ์วรรณาอย่างเจาะลึก เช่น การรวบรวมความคิดที่ดูขัดแย้งกันเพื่อทำความเข้าใจและหาค่านิยมและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกันที่ซ่อนอยู่ จะช่วยเราสามารถทำแผนที่ของพื้นที่หรือชุมชนในลักษณะที่แยกย่อยได้ละเอียดมาก
ข้อมูลที่ได้จากกระบวนการรับฟังมีความสำคัญต่อการออกแบบแนวปฏิบัติร่วมกัน ซึ่งไม่เพียงแต่จะสอดคล้องกับความต้องการและโอกาสของภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังได้รับการยอมรับจากชุมชนอีกด้วย เราสามารถนำแนวปฏิบัติจากกระบวนการรับฟังนี้ไปทดลองและขยายผลเพื่อสร้างแนวทางการพัฒนาที่เป็นระบบและเหมาะสมกับการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนได้ด้วย เช่น โควิด 19
การระบาดของโควิด 19 : ความปกติใหม่แห่งการรับฟังผ่านเครื่องมือดิจิทัล
เพื่อที่จะเข้าใจเรื่องราวใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นจากวิกฤตนี้ ได้มีการนำเครื่องมือการฟังแบบดิจิทัลและเทคนิคการประมวลผลภาษาด้วยปัญญาประดิษฐ์หลากหลายแบบมาใช้ ซึ่งช่วยให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่าแต่ละภูมิภาค ชุมชน และกลุ่มประชากรนั้นได้รับผลกระทบจากการระบาดใหญ่ไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น กลุ่มแรงงานไทยราว 200,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานข้ามชาติวัยหนุ่มสาว หลายคนเป็นเจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก หัวหน้าพ่อครัว และพ่อครัวประจำแผนก ที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตและต้องเดินทางกลับจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย คือกลุ่มที่เผชิญกับความท้าทายที่เฉพาะเจาะจงมาก
ตัวอย่างแหล่งข้อมูลดิจิทัลที่มีการใช้ในประเทศไทย
สิ่งที่เราค้นพบคืออะไร? เราพบว่าโดยทั่วไปคนมีทัศนคติเชิงลบต่อแรงงานที่กลับมา แม้กระทั่งก่อนการเกิดโรคระบาด และตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะแย่ลงไปอีก ในภาคใต้ของประเทศไทย หลายคนมีมุมมองเชิงลบต่อคนที่เดินทางกลับประเทศว่าเป็นพาหะนำโรค และมีการเชื่อมโยงไปถึงศาสนาด้วย แรงงานส่วนใหญ่ที่เดินทางกลับมาคือประชากรมลายูมุสลิมในท้องถิ่น และศาสนกิจของพวกเขาก็ถูกมองว่าเป็นแหล่งแพร่เชื้อ ซึ่งนำไปสู่การตีตราและการเลือกปฏิบัติ “ฉันรู้สึกว่าถูกสังคมตีตราเมื่อกลับบ้าน ถึงฉันจะอยู่ในหมู่บ้าน แต่ก็รับรู้ได้ว่าคนในเมืองมองว่าการรวมตัวทางศาสนาของเราหรือการรวมตัวฉีดวัคซีนทำให้เรามีโอกาสสูงที่จะเป็นผู้แพร่เชื้อ อีกอย่างคือฉันเดินทางมาจากมาเลเซียที่มีข่าวการระบาดก่อนหน้านี้ และก่อนที่จะปิดพรมแดนไทย-มาเลเซีย มีคนประมาณ 50,000 คนที่กลับไทยมาแล้ว”
กิจกรรมการรับฟังทางดิจิทัลในภาคใต้ของประเทศไทย ประกอบกับงานชาติพันธุ์วิทยาแบบดั้งเดิมช่วยให้เราประเมินผลกระทบของวิกฤตและพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงของพลวัตอำนาจ — ถึงแม้ว่าการระบาดใหญ่ได้ทำให้ชุมชนและธุรกิจท้องถิ่นที่เปราะบางอยู่แล้วอ่อนแอลง แต่กลับเปิดโอกาสทางธุรกิจที่ไม่คาดคิดให้แก่คนบางกลุ่ม หนึ่งในเรื่องราวที่เราค้นพบคือเรื่องของคุณตริมีซีผู้ประกอบการรุ่นใหม่ไฟแรงจากนราธิวาสซึ่งพบกับโอกาสทางธุรกิจอย่างไม่คาดคิดในช่วงวิกฤต คุณตริมีซีเป็นเจ้าของธุรกิจผลิตเนื้อสัตว์และเชี่ยวชาญการผลิตเนื้อเบอร์เกอร์ เมื่อเขาเปิดธุรกิจ เขาเป็นผู้ผลิตอาหารยอดนิยมนี้เพียงรายเดียวในภูมิภาค “เมื่อสามปีที่แล้ว ไม่มีผู้ผลิตเนื้อสัตว์ในท้องถิ่นเลย ผมก็เลยเริ่มต้นธุรกิจนี้ ผมจัดการเรื่องเอกสารรับรองทั้งหมดอย่างรวดเร็ว ผมอยากเริ่มธุรกิจเร็ว ๆ ก็เลยมุ่งมั่นมาก ๆ” เขาอธิบาย
พลวัตของอำนาจ : อิทธิพลของโควิด 19
3 ปีหลังจากนั้น คุณตริมีซียังคงเป็นผู้ผลิตเนื้อสัตว์เพียงรายเดียวในภูมิภาค สำหรับเขา นี่เป็นบรรยากาศทางธุรกิจที่ท้าทายเพราะธุรกิจเนื้อสัตว์ในภูมิภาคนี้ยังไม่ได้รับการพัฒนาในเชิงโครงสร้างและมักถูกมองว่าไม่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณตริมีซีต้องรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากห่วงโซ่อุปทานในท้องถิ่นและการขาดความหลากหลายในภูมิภาค “ร้อยละ 80 ของรายได้ของประชาชนที่นี่ขึ้นอยู่กับการเกษตร ราคาสินค้าเกษตร และราคายางพารา แต่เราขาดห่วงโซ่อุปทานต้นน้ำที่เหมาะสมสำหรับปศุสัตว์ เครื่องจักร และโรงฆ่าสัตว์ที่ได้มาตรฐาน”
เมื่อวิกฤตโควิด 19 มาเยือนภูมิภาค เช่นเดียวกับเจ้าของธุรกิจอื่น ๆ คุณตริมีซีก็ประสบปัญหา ยอดขายของเขาลดลง ทำให้ต้องลดเงินเดือนตัวเองเป็นเวลาหลายเดือน อย่างไรก็ตาม เมื่อรัฐบาลออกมาตรการปิดเมืองและปิดพรมแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อจำกัดการเดินทางและป้องกันไวรัสไม่ให้แพร่กระจาย สิ่งต่าง ๆ ก็เริ่มเปลี่ยนไป คู่แข่งของเขาซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในมาเลเซียไม่สามารถส่งออกผลิตภัณฑ์มายังประเทศไทยได้ ซึ่งทำให้เกิดสุญญากาศและเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่สำหรับเขา และเขาคว้ามันในทันที ด้วยทักษะและทัศนคติในการเป็นผู้ประกอบการ เขาตัดสินใจดำเนินการอย่างกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวเพื่อนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกสู่ตลาด และทำให้ยอดขายของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมาก เขากล่าวว่า “ดูเหมือนว่าธุรกิจของผมจะเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่เติบโตได้จริง ๆ ในช่วงของการระบาดใหญ่”
คุณตริมีซีเป็นตัวอย่างหนึ่งของผู้ประกอบการที่เห็นความท้าทายแต่เลือกที่จะจินตนาการถึงโอกาส เป็นคนที่ริเริ่มแทนที่จะรอให้คนอื่นมาจัดการปัญหาให้ ในความเป็นจริงมีคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่คล้ายกับคุณตริมีซี คือมีคุณสมบัติในการเป็นผู้ประกอบการที่จะประสบความสำเร็จ แต่ยังล้มเหลวเนื่องจากระบบนิเวศของธุรกิจในภูมิภาคที่ขาดการพัฒนา ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในภาคใต้ของประเทศไทยเผชิญกับอุปสรรคสำคัญในการสร้างสตาร์ทอัพ เนื่องจากขาดที่ปรึกษาด้านธุรกิจและทักษะการจัดการ ตลอดจนข้อจำกัดทางการเงิน เงินทุน และการเข้าถึงตลาด
เรื่องราวเหล่านี้ที่เรารวบรวมได้จาการลงพื้นที่เพื่อศึกษาด้านชาติพันธุ์และการรับฟังทางดิจิทัลได้แสดงให้เห็นว่าผู้คน กลุ่มต่าง ๆ และชุมชนกำลังประสบกับผลกระทบของโควิด 19 ในมิติที่แตกต่างกันอย่างไร การรับข้อมูลเชิงลึกตามเวลาจริงเกี่ยวกับความแตกต่างเหล่านี้และผลกระทบทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมคือสิ่งสำคัญในการร่วมสร้างแนวทางแก้ปัญหาใหม่ที่ดีกว่า และเหมาะกับแต่ละกลุ่มประชากร
แนวทางจากล่างขึ้นบนนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการเส้นทางการเรียนรู้เรื่องธรรมาภิบาลสำหรับคนรุ่นใหม่ (NextGen Governance learning trajectory) ที่จะช่วยให้ผู้มีอำนาจสามารถเลือก จัดการปัญหาที่ซับซ้อน และระบุแนวทางรับมือที่มีประสิทธิภาพ และสร้างผลกระทบเชิงบวกไม่ใช่แค่สำหรับการฟื้นตัว แต่ไปไกลถึงเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030 ด้วย
ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เรามีเป้าหมายคือการจัดตั้งหอสังเกตการณ์เรื่องเล่าพลเมืองดิจิทัล (Digital Observatories of Citizen Narratives) ที่จะให้ข้อมูลอันมีค่าแก่หน่วยงานท้องถิ่นและจังหวัด ภาคเอกชน และองค์กรชุมชนที่กำลังค้นหาแนวทางแก้ปัญหาที่เป็นนวัตกรรมผ่านการสร้างสรรค์ร่วม
- รวบรวมข้อมูลที่มีอยู่เกี่ยวกับโควิด และจัดประเภทตามประเด็นและภูมิศาสตร์
- ทำแผนที่ระบบของแต่ละพื้นที่ทางภูมิศาสตร์
- ทำแผนภาพเครือข่ายผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลัก
- สร้างช่องทางการรับฟังใหม่ ๆ เพื่อทำความเข้าใจมุมมองและความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่ส่งผลต่อวิกฤตโควิด
- จัดเตรียมแนวปฏิบัติเรื่องการรับรู้ทางดิจิทัลเพื่อการตีความข้อมูลร่วมกัน
- อำนวยความสะดวกในกระบวนการสร้างสรรค์ร่วมผ่านเครื่องมือดิจิทัล
- ออกแบบและจัดการพอร์ตโฟลิโอของตัวเลือกและต้นแบบของแนวทางแก้ปัญหา
- จัดการและประเมินแพลตฟอร์มร่วมกัน
- สื่อสารกระบวนการนี้กับสาธรณะ
- ดึงดูดเงินทุนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง
กระบวนการนี้มุ่งหมายที่จะจุดประกายให้คนในภาคใต้ของประเทศไทยหันมาร่วมพัฒนาชุดแนวทางแก้ปัญหาเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในท้องถิ่น ความสนใจ และค่านิยมของชุมชน และยังมีความคิดริเริ่มมากมายในการช่วยเหลือผู้ประกอบการรุ่นใหม่ในอุตสาหกรรมอาหารให้สามารถฟื้นฟูธุรกิจหลังโควิด 19 และปรับตัวสู่ ‘ความปกติใหม่’
บทความนี้ร่วมเขียนร่วมโดย Stan van der Leemputte ที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมทางสังคมของ UNDP เอเชียและแปซิฟิก และ Itziar Moreno หัวหน้าโครงการของศูนย์ Agirre Lehendakaria Center (ALC) ทั้งสองกำลังดำเนินโครงการริเริ่มระดับภูมิภาคที่สนับสนุนสำนักงาน UNDP ประจำประเทศในการพัฒนาแพลตฟอร์มนวัตกรรมทางสังคมเพื่อรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อน บรรลุการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ค.ศ. 2030
เผยแพร่ครั้งแรกที่ Regional Innovation Centre UNDP Asia-Pacific
ที่มาต้นฉบับภาษาอังกฤษ: https://undp-ric.medium.com/informing-the-new-normal-what-we-have-learned-from-listening-to-southern-thai-communities-cdf8ecc2753e