- Published Date: 13/09/2019
- by: UNDP
Hate Speech = Violence เรากำลังใช้ความรุนแรงโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า ?
Hate Speech = Violence
เรากำลังใช้ความรุนแรงโดยไม่รู้ตัวหรือเปล่า ?
.
ความรุนแรง ไม่ได้เกิดขึ้นจากการกระทำเท่านั้น เพราะเพียง ‘คำพูด’ หรือ ‘ข้อความ’ เพียงไม่กี่ตัวอักษรในชีวิตประจำวันหรือโลกออนไลน์ ก็เป็นชนวนสำคัญที่สร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นในสังคมได้ เรากำลังพูดถึงสิ่งที่เรียกว่า ‘Hate Speech’ หรือ ‘คำพูดเชิงเกลียดชัง’ ที่ผู้พูดอาจพูดอย่างตั้งใจหรือบางครั้งไม่ทันคิด แต่กลับสร้างบาดแผลราวกลับถูกยาพิษให้ผู้ฟัง กลายเป็นความเกลียดชังที่หลายต่อหลายครั้งลุกลามจนถึงขั้นความรุนแรง
Hate Speech หรือ คำพูดเชิงเกลียดชัง คือการพูดหรือการสื่อความหมายที่สร้างความเกลียดชังระหว่างกลุ่มคนในสังคม โดยส่วนมากจะมุ่งไปที่อัตลักษณ์ของกลุ่มคนหรือปัจเจกบุคคลนั้นๆ เช่น เชื้อชาติ ศาสนา สีผิว เพศ อาชีพ อุดมการณ์การเมือง หรือลักษณะอื่นที่สามารถแบ่งแยกผู้คน หรือลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ ส่งเสริมให้เกิดความเกลียดชัง และกลายเป็นความรุนแรงโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเกิดจากการไม่รับฟังความคิดเห็นที่ต่างออกไป
Cyberbullying : โลกออนไลน์แห่งการบูลลี่
โลกออนไลน์กลายเป็นพื้นที่สำหรับสร้าง Hate Speech มากที่สุด นั่นเพราะไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถึง และแสดงออกความคิดเห็นได้อย่างเปิดเผย การบูลลี่ (bully) คนอื่นด้วยถ้อยคำต่างๆ นานาที่เต็มไปด้วยการดูถูก ตึงเครียด ไปจนถึงก้าวร้าวถูกสาดมาเกลื่อนเต็มพื้นที่ จากหนึ่งกลายเป็นสอง ขยายวงกว้างเรื่อยๆ และเกิดเป็นค่านิยมในที่สุด เช่น การวิจารณ์รูปร่างของคนอื่นในเฟสบุ๊ค การตั้ง status แขวะกัน ไปจนถึง Live ด่ากันก็มี ไม่เพียงเท่านั้น สื่อหลักหรือสื่อหน้าใหม่บ้างเจ้า ยังโหนกระแสนำเรื่องเหล่านี้ไปขยายประเด็นเพิ่มเติม จนทำให้เรื่องบางเรื่องถูกวิจารณ์กันอย่างสนุกปาก และการบูลลี่ก็กลายเป็นเรื่องปกติไปโดยปริยายในบางสังคม
สิ่งที่น่ากลัวสำหรับการบูลลี่ในโลกออนไลน์ คือสิ่งที่เรียกว่า ‘การล่าแม่มด’ (Witch-hunt) ที่แต่เดิมคือคำที่ใช้ไล่ล่าคนที่ถูกตรีตราว่าเป็นแม่มดหรือฝึกฝนไสยศาสตร์ในยุคกลางของยุโรป มีผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อของการไล่ล่าแม่มด การทรมาณ การประหารชีวิตเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก วาทกรรมนั้นกลับมาอีกครั้งในรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในโซเชียลมีเดีย โดยการจู่โจมใครสักคนหนึ่งหลังคีย์บอร์ด ขุดคุ้ยประวัติ หาข้อมูลต่างๆ มาทำให้เสียชื่อเสียง กลั่นแกล้ง และประจานกันในพื้นที่สาธารณะ
Labelling : ตีตราให้ค่าโดยไม่ไตร่ตรอง
หนึ่งในสาเหตุของการมี hate speech จนนำไปสู่ cyberbullying คือ การตีตรา (Labelling) ที่ผสมกับชุดวาทกรรมที่เชื่อกันแบบผิดๆ มาใช้แบ่งประเภท หรือตัดสินความเป็นคนนั้นทันที โดยที่ไม่ได้รู้จักกันดีด้วยซ้ำ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การตัดสินกลุ่ม LGBTQ+ ว่าพวกเขาผิดปกติ ไม่เป็นไปตามสังคมกำหนด ทั้งยังเชื่อว่าต้องอาภัพรัก ไม่ประสบความสำเร็จ และเป็นตัวตลกในสายตาใครๆ และที่น่าเศร้าใจมากกว่านั้น คือการที่บางสื่อยังคงผลิตซ้ำความคิดเหล่านี้ จนกลายเป็นบรรทัดฐานทางสังคม (Social Norm)
อีกหนึ่งกรณีที่เราอยากยกมาพูด คือการตัดสินคนผ่านถิ่นกำเนิด เช่น เป็นคนใต้ต้องตัวดำ เป็นชาวเขาต้องพูดไม่ชัดและไม่ทันโลก เป็นคนอีสานต้องกรามใหญ่ และทำอะไรเปิ่นๆ จนมีคำพูดดูถูกพวกเขาว่า ‘อย่ามาทำตัวลาวหน่อยเลย’ ดังนั้น การตีตราก่อนรู้จัก โดยไม่ได้คิด หรือไตร่ตรองให้ดี จึงกลายเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้าม และอาจลืมไปว่า สิ่งที่ซ่อนอยู่คือ ความเกลียดชังปะปนความรุนแรง
Climate Change : เพราะอากาศเปลี่ยนแปลง
สภาวะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) ส่งผลให้ความเข้าใจเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปในที่นี้ หมายถึงการนำความคิดเราไปตัดสินเรื่องราวเหล่านั้น เช่น เรื่อง ‘ฝุ่น PM 2.5’ ที่เกิดความไม่เข้าใจระหว่างคนเมืองกับผู้คนที่อยู่ในป่า นั่นคือฝั่งคนเมืองมองว่า คนในป่าเป็นคนเผ่าป่า จนสร้างฝุ่นคลุ้งเข้ามากระทบในเมือง ในขณะที่ผู้คนในป่าก็มองว่า บรรดาคนเมืองที่ทำโรงงานอุตสาหกรรม ขับรถปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากท่อไอเสีย คือผู้ที่สร้างมลพิษ โดยที่อาจลืมไปว่า เราไม่ได้เป็นเขา และเขาก็ไม่ใช่เรา
หรือในกรณีของ ‘ขยะพลาสติก’ ที่ผู้รายได้น้อยมักจะถูกเหมารวมว่า ใช้พลาสติก หรือโฟมเยอะ เพราะไม่มีกำลังทรัพย์ไปซื้อภาชนะที่สามารถย่อยสลายได้ หรือไม่เคยตระหนักคิดถึงเรื่องนี้ ทั้งที่ความเป็นจริง ไม่ว่าใครก็สามารถเป็นตัวการสร้างขยะพลาสติก และไม่ว่าใครก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาเรื่องสภาวะสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน
Politics : การเมืองร้อนซ่อนความรุนแรง
‘ดร.มาร์ค เจริญวงศ์’ อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวในงานสัมมนาสาธารณะ “Hate Speech บนโลกออนไลน์ บาดแผลร้ายที่ใครต้องรับผิดชอบ” จัดขึ้นโดยผู้เข้าอบรมหลักสูตรผู้บริหารการสื่อสารมวลชนระดับกลางด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (บสก.) รุ่นที่ 8 สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทยว่า ปัญหา Hate Speech ที่พบในประเทศไทยมากที่สุด ซึ่งมีความรุนแรง คือการใช้วาจาสร้างความเกลียดชังในเรื่องการเมือง
ยิ่งการเมืองร้อนฉ่า ความเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง Hate Speech ที่เกิดขึ้นยิ่งเผ็ดร้อน ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว ในสถานการณ์ที่มีการแบ่งขั้วชัดเจน ชอบหรือไม่ชอบอีกฝ่าย คำด่าทอมากมายถูกพ่นออกมา รวมถึงการประท้วงเรียกร้อง สิ่งที่ตามมาคือความรุนแรงจนบางครั้งถึงขั้นลงไม้ลงมือ และกระทบกับสังคมโดยรอบ มากไปกว่าการใช้ Hate Speech ระหว่างคนที่มีอุดมการณ์ต่างกัน นั่นคือคนในแวดวงการเมืองเอง ที่เป็นผู้กำหนดกฎหมายยังใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือทำร้ายคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการเหยียดเพศ เชื้อชาติ อายุ หรือการแต่งกายที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกสภา
Case Study : Crying in Public, New York – U.S.A
รู้สึกอย่างไร ให้แสดงออกผ่านอิโมจิ
บางครั้ง Hate Speech อาจเกิดขึ้นจากความรู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่คนอื่นทำ ความเห็นที่แตกต่าง หรือเกิดขึ้นจากความโมโหจนพูดจาทำร้ายจิตใจ สร้างความเกลียดชัง จนกลายเป็นความรุนแรง อารมณ์เหล่านั้นควรได้รับการปลดปล่อยหรือเยียวยา ซึ่งหลายๆ ประเทศยังขาดพื้นที่สำหรับปลดปล่อยอารมณ์และความรู้สึก
‘Kate Ray’ วิศวกรในย่านกรีนพอยท์ เมืองนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ขอเป็นคนหนึ่งที่จะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไว้ สร้าง https://cryinginpublic.com/ แพลตฟอร์มในโลกออนไลน์ที่ตั้งใจให้ผู้คนมาระบายความรู้สึกในจิตใจ ที่ถูกกระทบจากแวดล้อมรอบข้าง ทั้งการใช้ชีวิต ความคิดเห็น ความสัมพันธ์ ไปจนถึงเรื่องการเมืองโดยไม่ต้องอายใคร หรือไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครเฝ้าถามเรื่องราวทุกข์ใจที่ไม่อยากพูดหรือเปล่า ผ่านการใช้อิโมจิ เช่น
ไฟ หมายถึง โดนไล่ออก
พีช หมายถึง รู้สึกไม่ปลอดภัยเวลาทำงาน
ค้อน หมายถึง มีอุดมการณ์ หรือความคิดใหม่
แมว หรืออมยิ้ม หมายถึง ระดับความรู้สึกที่เปลี่ยนแปลง
นอกจากนี้ ยังมีอิโมจิอีกมากมายที่กำลังทำหน้าเศร้าและเป็นตัวแทนของเสียงร้องไห้ และเมื่อได้ระบาย ถึงแม้จะเป็นเพียงการใช้อิโมจิบนโลกออนไลน์ก็ตาม แต่เชื่อเถอะว่า ความอึดอัดคับใจที่มีอยู่ล้นอกจะลดลงบ้างไม่มากก็น้อย นั่นหมายถึงว่า โอกาสที่จะเกิด Hate Speech จนนำไปสู่ความรุนแรงก็น้อยลงเช่นกัน
sources :
https://www.amny.com/things-to-do/nyc-crying-in-public-map-1.16885669
https://mgronline.com/qol/detail/9620000055786
https://workpointnews.com/2019/06/22/pm-prayuth-social-media/